Monday, May 21, 2012

• Mrs.Fields's back •

เจ้าของบล็อกไปอยูหลังเขามาค่ะ ไม่รู้เรื่องเลยว่า Mrs.Fields เขากลับมาแล้ว
แต่ประจวบเหมาะว่าวันนี้ได้ไปงานวัดลอยฟ้าที่พารากอนมา ลงบันไดเลื่อนมาชั้นสาม เอ๊ะ! โลโก้สีแดงๆนั้นคุ้นๆ วิ่งปรู๊ดลงมา อุ๊ย! Mrs.Fields กลับมาแล้ว (o゚∀゚o)

คุกกี้ของที่นี่มี 2 แบบนะคะ คือแบบ nibble ชิ้นพอดีคำ กับ soft cookie ขนาดปกติ ราคาชิ้นละ 39 บาท แล้วก็ยังมีมัฟฟิ่นกับบราวนี่ค่ะ แต่เนื่องจากซื้อแค่อย่างเดียว เลยไม่ได้เช็คราคาสินค้าอื่นมาด้วย ต้องขออภัยค่ะ

ตอนนี้เขามี promotion กับ AIS และ Citibank อยู่นะเด้อ

AIS promotion: ซื้อคุกกี้ 6 ชิ้น ฟรี 2 ชิ้น (ตกชิ้ีนละ 29 บาท)
promotion สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2555


Citibank promotion: ซื้อคุกกี้ 12 ชิ้น ฟรี 6 ชิ้น (ตกชิ้ีนละ 26 บาท)
promotion สิ้นสุดวันที่ 15 มิถุนายน 2555


 

 

ชิ้นที่แถมฟรีมีให้เลือก 2 รสชาติ คือ Semi-sweet chocolate chip และ Milk chocolate chip เท่านั้นนะจ๊ะ :)

Thursday, May 17, 2012

Macaron Festival ・ Bake Ministry Macarons ・

ตั้งแต่วันที่ 16-21 พฤษภาคมนี้ ที่เอ็มโพเรี่ยมมีงาน Emporium Sweet Passion: Macaron Festival ค่ะ งานจัดอยู่ที่ Fashion Hall ชั้น 1 มีร้านขนมมาออกร้านอยู่จำนวนหนึ่ง ดังนี้
  • The Chocolate Boutique by Shangri-La Hotel, Bangkok 
  • Gourmandises by Swissôtel Nai Lert Park, Bangkok
  • Bake Ministry
  • Mille Crêpe
  • LACERISE MACARON
  • Le Goûté
  • MA DU ZI Hotel Bangkok
  • BONGOUT
  • Chooux by b sisters 
  • WHiSK 
เจ้าของบล็อกก็ไปสอยมา 1 กล่อง ของ Bake Ministry
กล่องขนาด 16 ชิ้น ราคา 600 บาทค่ะ




ใครรักมาการอง แวะไปชม ไปชิม ไปซื้อได้ค่ะ
อ้อ.. และถ้าใครเล็งรส Champagne กับ Matcha ของร้านนี้ไว้ล่ะก็ แนะนำให้ไปไวหน่อยนะคะ เขาว่าหมดเป็นรสแรกๆเลย :)

Monday, May 14, 2012

Restaurant review • Bakudanya •

วันนี้พามาทานราเมงค่ะ
เออ เจ้าของบล็อกก็เพิ่งจะมารู้ตัวตอนแก่เนี่ยแหละค่ะ ว่าตัวเองเป็นคนที่มักจะเลือกทานอาหารประเภทเส้นเส้น ทั้งก๋วยเตี๋ยว ราเมง สปาเก็ตตี้ เวลาที่อยู่นอกบ้าน อาจจะเป็นเพราะว่ามันง่ายดี จบในจานเดียว แล้วด้วยความที่ตัวเองเป็นคนเรื่่องมากกับข้าวค่ะ คือถ้าเลือกทานข้าวแล้วเจอข้าวที่หุงไม่เป็นเม็ด แฉะๆ เละๆ ก็จะเซ็งๆ อีกอย่าง อาหารไทยเรานี่ข้าวถือเป็นนางเอกเลยนะคะ ถ้าข้าวไม่อร่อยซะแล้ว ตัวประกอบจะเด็ดแค่ไหน ก็ไม่เวิร์คค่ะ ฉะนั้น เพื่อเป็นการลดความเสี่ยง วันนี้ก็เลยเลือกทานอาหารเส้นสัญชาติญี่ปุ่นค่ะ

Bakudanta เป็นร้านราเมงที่อยู่ชั้น 6 ห้างอิเซตัน เยื้องๆกับร้านหนังสือ Kinokuniya ค่ะ



ร้านนี้มีอาหารหลักๆก็คือราเมงนะคะ นอกจากนั้นก็จะเป็นพวกเครื่่องเคียงต่างๆ เช่น เกี๊ยวซ่า และคาราอะเกะ เจ้าของบล็อกสั่ง Tsukemen ไซส์เล็กมาทานค่ะ เป็นราเมงแบบเย็นที่เราจะต้องจิ้มจุ่มน้ำซุปในถ้วยก่อนทาน ซึ่งน้ำซุปนี้เค้าก็จะมีความเผ็ดให้เลือกหลายระดับนะคะ รู้สึกว่าถ้าเผ็ดมากๆก็จะ charge เพิ่มขึ้นนิดหน่อยค่ะ



เครื่องเคียงในชาม มีหมู 1 ชิ้น กระหล่ำปลีลวก ไข่ต้ม ถั่วฝักยาวปรุงรส พร้อมโปะต้นหอมญี่ปุ่นแบบพูนๆ



เจ้าของบล็อกเลือกความเผ็ดระดับหก เพราะเผลอสบประมาทว่า คนญี่ปุ่นคงไม่กินเผ็ดนักร้อกกก แต่ผลคือ ปากเจ่อเลยค่ะ เผ็ดใช้ได้เลย (T▽T) รสชาติโดยรวมอร่อยค่ะ ไม่เค็มจัด (ถ้าเทียบกับน้ำซุปซารุ ราเมน ของ Hachiban กับ Shoyu Zaru Rahmen ของ Chabuton) หรืออาจจะเป็นเพราะความเผ็ด ทำให้เราทานน้ำซุปได้น้อยกว่ายี่ห้ออื่นๆรึเปล่าไม่รู้ ชอบถั่วฝักยาว กรุบๆดี แต่เนื้อหมูแห้งไปค่ะ



วันนี้มาคนเดียว ก็เลยสั่งแค่อย่างเดียว (140 บาท) กับน้ำ 1 ขวด (20 บาท) ค่าเสียหาย 189 บาทถ้วนค่ะ (ราคารวม VAT และ TAX นะคะ)

ที่ร้านยังมีราเมงอีกหลายแบบเลยค่ะ ถ้าสนใจก็ลองดูนะคะ รู้สึกว่าจะมีอีกสาขาที่เซ็นทรัลลาดพร้าวด้วยล่ะ :)

Friday, May 11, 2012

Product review ・ Boscia Daily Hand Revival Therapy SPF 15 ・

เจ้าของบล็อกได้ Hand Cream ใหม่มาเล่นค่ะ
สืบเนื่องจากที่เป็นคนไม่ค่อยมีความมั่นใจ เวลาจะซื้ออะไรก็ต้องให้คนอื่นช่วยคอนเฟิร์ม ว่าดีจริงๆนะเออ
ดังนั้นเมื่อ Hand Cream เจ้าเดิมหมด เจ้าของบล็อกจึงเริ่มทำการบ้าน และก็ได้หลงเข้าไปใน web beautypedia ซึ่งเป็น web review เครื่องสำอางจากส่วนผสมของมันค่ะ
ผู้ที่จัดทำ web นี้ขึ้นมาก็คือคุณ Paula Begoun เจ้าของเครื่องสำอาง Paula's Choice น่ะค่ะ
ถามว่าแล้วจะไม่ลำเอียงเหรอในเมื่อเจ้าของเวป เป็นเจ้าของแบรนด์เครื่องสำอาง มันก็แหงแซะน่ะสิคะ เพราะเท่าที่ดูเนี่ย สินค้าของแบรนด์ Paula's Choice ดูจะได้ Rating ดี กันถ้วนหน้าเลยทีเดียว แต่้เราก็ใช้วิธีเปรียบเทียบจากประสบการณ์ของตัวเองประกอบกันค่ะ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็จะสอดคล้องกัน
อะไรที่เค้าว่าดี เราเคยใช้ มันก็เอ้้อออ ดีนะ อะไรที่เค้าว่าแย่ ใช้แล้วมันก็เยินจริง อะไรจริง ก็เลยจะลองเชื่อคุณ Paula เค้าดูซักตั้ง

แล้วเราก็ได้ Hand Cream นี้มาค่ะ

Boscia Daily Hand Revival Therapy SPF 15


ชอบที่เค้ามี seal ฝามาให้ :) ดูสะอาดดี

เนื้อโลชั่นสีขาวกลิ่นหอมอ่อนๆ สะอาดๆ แบบพืชๆ เขียวๆ น่ะค่ะ (บ่ใช่เหม็นเขียวเน่อ) มีกลิ่นกันแดดนิดหน่อย รับได้

เจ้าของบล็อกเป็นคนมือแห้งมากค่ะ ต้องทาครีมตลอดเว ซึ่งไม่รู้ว่าบางคนเคยเป็นมั้ย เวลาที่ทาครีมแล้วมันเหมือนระเหยไป แทนที่มันจะซึมน่ะค่ะ เหมือนทาแล้วไม่ได้ทา

แต่ตัวนี้ไม่เป็นเลย ทาแล้วให้ความชุ่มชื่นในระดับที่พอใจ ไม่ระเหยหาย และที่แจ๋วคือไม่เหนียวเหนอะหนึบหนับให้รำคาญใจ แถมยังเพิ่มสารกันแดดให้อีกต่างหาก เย่! ครบครันคุ้มค่ามาก

สำหรับท่านที่สงสัยว่า Hand Cream นี้ ท่านได้แต่ใดมา ขอตอบว่าเจ้าของบล็อกไปช้อปมาจาก StrawberryNET ค่ะ ราคาเต็ม 636 บาท (ขนาด 80 กรัม) ลด 3% สำหรับลูกค้าประจำ และลดพิเศษอีก 11% เป็น 546.96 บาท

ในกล่องเขาได้แนบรายละเอียดผลิตภัณฑ์มาให้ ทั้งยังแถลงไขว่า ผลิตภัณฑ์นี้จะสิ้นอายุ ภายใน 6 เดือนหลังจากเปิดนะจ๊ะ เจ้าของบล็อกก็เลยต้องทำรูปช่วยจำไว้ตามด้านล่าง


ดู Review จาก web ได้ใน link นี้นะคะ

ไว้มีของใหม่จะมาเห่อให้ดูอีกนะคะ :)

Saturday, May 5, 2012

• ขอนแก่น • สาม

ตอนแรกตั้งใจว่าเช้านี้จะไปพิพิทธภัณฑ์ไดโนเสาร์ที่กาฬสินธุ์ แต่ปรากฏว่าโดนรีสอร์ทดูดค่ะ ทานอาหารเช้าเสร็จก็นอนเกลือกกลิ้งซะยาวเลย อาหารเช้าที่นี่เป็นชุดค่ะ มีให้เลือก 3 ชุด คือ American breakfast, ข้าวต้มกุ้ง แล้วก็ชุดเวียดนามค่ะ เราเลือกไว้ล่วงหน้า เช้ามาพนักงานก็จะเอามาเสิร์ฟที่สวนข้างห้องเรา

เจ้าของบล็อกเลือกชุดเวียดนาม ส่วนคุณแฟนเลือกชุดข้าวต้มกุ้ง ชุดเวียดนามก็คือไข่กระทะ แล้วก็ขนมปังไส้กุนเชียงกับหมูยอค่ะ แต่ที่กรี๊ดมากคือชุดข้าวต้มค่ะ เค้าแยกเครื่องแยกผักมาให้ใส่ตามใจชอบ น่ารักเชียว ทั้งสองชุดเสิร์ฟพร้อมน้ำสับปะรดปั่น มะม่วงสุก แล้วก็ชา หรือกาแฟ คุณแฟนสั่งคาปูชิโน่ (ล่ะมั้ง) เขาว่าอร่อยนะ





ออกจากที่พักก็เกือบเที่ยงแล้วค่ะ ก็เลยแวะทานอาหารกลางวันระหว่างทาง และในเมื่อเราไปดูสัตว์ในอดีตคือไดโนเสาร์ไม่ทัน ก็เปลี่ยนมาดูสัตว์ยุคปัจจุบันกันแทนแล้วกัน

อ่ะแน้... งงล่ะซี้ ขอนแก่นก็มีสวนสัตว์นะเอ้อ อยู่ที่อำเภอเขาสวนกวางจ้า แล้วก็ไม่ได้มีแต่ไก่นะฮะ (แต่ทางเข้าสวนสัตว์มีร้านไก่ย่างเรียงเป็นตับเลยฮะ)


ขับรถไปตามถนนมิตรภาพนะคะ ประมาณ 50 นาทีจากตัวเมือง ตรงๆ ยาวๆ เลยค่ะ สวนสัตว์จะอยู่ขวามือ ริมถนนเลย เลี้ยวเข้าไปเลยค่ะ แล้วขับขึ้นเขาไปเรื่อยๆ เรียกว่าลึกลับซับซ้อนพอสมควร แต่ก็มีป้ายบอกทางอยู่เป็นระยะๆค่ะ










ถึงลานจอดรถก็จะมีให้เลือก 2 ชอยส์ ก็คือตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เดินชมสัตว์ด้วยตัวเอง หรือพึ่งตัวช่วย คือเช่ารถกอล์ฟชมสัตว์

ต้องขออธิบายก่อนว่าสวนสัตว์เขาสวนกวางนี้กว้างทีเดียวค่ะ แล้วด้วยภูมิประเทศที่เป็นภูเขา บวกกับอากาศหน้าร้อนเช่นนี้ คือ เอาเป็นว่า ถ้าเดินก็แฮ่กอ่ะค่ะ

ไวเท่าความคิด เจ้าของบล็อกพุ่งไปเช่ารถกอล์ฟทันที สนนราคาอยู่ที่ 300 บาทต่อชั่วโมง แต่ถ้าครึ่งชั่วโมงคิด 200 บาทนะจ๊ะ และยังมีค่ามัดจำอีก 200 บาทด้วย
เช่ารถเสร็จก็ . . .

งง ค่ะ

เพราะไม่รู้จะไปทางไหน ไม่มีแผนที่อะไรใดๆทั้งสิ้น คาดว่าทางคณะจัดทำสวนสัตว์ต้องการให้ผู้มาเยี่ยมชมได้ฝึก skill ดมกลิ่นเอาว่าทางไหนน่าจะมีสัตว์อะไรอยู่ทางไหนบ้าง แต่เนื่องจากเราเห็นหมูป่าวิ่งไปมา เราเลยตัดสินใจว่าจะเริ่มจากการตามรอยหมูป่ากันก่อน

ซึ่งจากการขับรถไล่หมูป่าอยู่ซักพักก็ไปเจอกับกรงค่ะ แต่เอิ่ม.. เป็นกรงเนื้อทรายนะคะ คือเค้าอยู่ด้วยกันอ่ะค่ะ


ตามวรรณคดี เขาว่าคนตาสวยต้องเหมือนตากวาง ก็จริงนะเอ้อ ดูสิ กิ๊งเชียว


วนรถมาฝั่งตรงข้ามจะเจอกับกรงของจิงโจ้ที่หน้าพี่เค้าดูเพลียมากๆ 


เราจอดรถลงเดินกันค่ะ ถัดจากพี่จิงโจ้มานิดเดียวขอเป็นอาคารเล็กๆที่มีหมีขออยู่ เราเดินเลยไปอีกค่ะ ก็มาเจอกับ ความพิเศษของสวนสัตว์นี้ ก็คือ Skywalk จ้า.. เปิดโอกาสให้เราชื่นชมสัตว์จากมุมสูง(มากกกก) ด้านล่างจะเป็นสัตว์แอฟริกา คือยีราฟ ม้าลาย แล้วก็นกกระจอกเทศ ซึ่งดูจะเป็นสัตว์ไม่กี่ประเภทในสวนสัตว์นี้ที่ไม่เพลียเท่าไหร่





ดูสัตว์แอฟริกาจนสาแก่ใจก็เดินกลับลงมา แล้ววนรถกลับไปหาพี่จิงโจ้อีกครั้ง ข้างๆพี่จิงโจ้เป็นกรงอูฐ ลา ม้า ฬ่อ ค่ะ และถ้าลึกเค้าไปก็จะเป็นกวางต่างๆ ซึ่งถึงตอนนี้ไม่ได้ถ่ายรูปเท่าไหร่แล้ว เพราะว่ามาค้นพบสัตว์ที่เหลือเอาเมื่อเวลาใกล้หมดค่ะ เลยได้แต่วนรถผ่านๆ น่าเสียดายนะคะ ถ้ามีแผนที่เราคงจัดการเวลาได้ดีกว่านี้ แล้วก็ไม่ต้องวนๆงงๆอยู่นานเลย

ที่สยองเล็กน้อยคือ เขาจะมีกรงที่ทำเป็นรูปก้อนหินน่ะค่ะ วางอยู่รายทาง ซึ่งไอ้กรงเหล่านี้เนี่ย ส่วนของตาข่ายมันขาดไปหมดแล้วล่ะค่ะ ก็คุยกับคุณแฟนว่าจะเป็นกรงอะไรน้าาา ซึ่งเราดูแล้วก็รู้สึกว่า layout แบบนี้ มันน่าจะเป็นสัตว์เลื้อยคลานซักอย่างน่า เพราะขนาดกรงไม่สูง ไม่ใหญ่ มีกิ่งไม้ปักอยู่พอให้เลื้อยเพลินๆได้ พอดีกับที่หันไปเจอกรงนึงที่ยังมีเจ้าของอยู่ในนั้น ก็กระจ่างเลยค่ะ เป็นกรงงู (>.<) ที่ยังเหลืออยู่คือพี่เหลือม แต่ไม่รู้ว่าพี่ๆกรงอื่นนี่เค้าไม่อยู่ในกรงแล้วเนี่ย เค้าเป็นใครกันบ้าง แล้วพี่เค้าจะยังซุ่มอยู่แถวนี้มั้ย เจ้าของบล็อกเลยจ้ำลืมร้อนไปเลย

ออกจากสวนสัตว์เราขับรถไปที่สนามบินก่อนค่ะ เพราะว่าได้เวลาคืนรถพอดี แต่พอหลังจากคืนรถแล้วสิคะ จ๋อยเลย เพราะ flight 2 ทุ่มแน่ะ แถมสนามบินก็คงมีนโยบายประหยัดไฟ ปิดไฟมืดเลยค่ะ เพราะไม่มีผู้โดยสารเข้าออกช่วงเวลานั้น ต้องรบกวนคุณแฟนโทรหาเพื่อนให้ช่วยพาไปทานข้าวข้างนอก แล้วก็ฆ่าเวลาไปในตัว และเนื่องจากทริปนี้เจ้าของบล็อกยังไม่ได้ทานส้มตำเลย เราก็เลยมาจบที่ร้าน วนิดารสวิเศษค่ะ ราคาไม่แพงนะคะ ทาน 3 คน 700 กว่าบาท มีส้มตำโคราช ส้มตำไทย ต้มไก่บ้าน ปลานึ่ง น้ำตกหมู หมูทอด ไก่บ้านย่าง ข้าวเหนียว (ไม่ต้องตกใจนะคะ ว่ากินอะไรกันเยอะขนาดนั้น อาหารเค้าจานเล็กๆน่ะค่ะ)  ส่วนรสชาติก็กลางๆค่ะ ไม่ได้จัดจ้านอะไร เห็นเพื่อนคุณแฟนบอกว่าลูกค้าส่วนใหญ่ของร้านนี้ก็จะไม่ใช่คนท้องถิ่นน่ะค่ะ

จากนั้นก็แวะซื้อของฝาก แล้วก็กลับมาที่สนามบินค่ะ คราวนี้สนามบินเปิดไฟสว่างแล้ว ถึงสุวรรณภูมิก็นั่ง Airport Link กลับบ้านค่ะ แต่อย่างที่บอกไปว่าเจ้าของบล็อกซื้อตั๋วแบบ Round trip ไว้ ก็เลยจะต้องนั่งสาย Express Line ซึ่งตอนไปถึง รถก็เพิ่งออกไปเลยค่ะ ต้องนั่งรอรถขบวนใหม่อีกครึ่งชั่วโมง กลายเป็นว่าช้ากว่านั่ง City Line กลับบ้านซะอีก แถมตอนนั้นก็ดึกพอควร จะ Shut down ตัวเองให้ได้ เอาเป็นว่าถ้าใครรีบๆก็ซื้อเป็นตั๋วเที่ยวเดียวไป อาจจะช่วยให้ control เวลาได้ดีกว่านะคะ

ทั้งนี้ต้องขอขอบคุณคุณแฟนที่ช่วยเป็นสปอนเซอร์ให้หลายๆอย่าง รวมถึงความคิดที่อยากจะพาเจ้าของบล็อกไปเที่ยวด้วย แล้วก็เพื่อนคุณแฟนที่พาไปทานอาหารด้วยนะคะ ขอบคุณแฟนบล็อกด้วยที่ตามมาเที่ยวด้วยกัน (ใครเค้าเป็นแฟนบล็อกหล่อนยะ เค้าแค่ search google แล้วหลวมตัวมาอ่านหรอก ;p) ไว้ไปเที่ยวกันใหม่ค่ะ :)

Wednesday, May 2, 2012

• ขอนแก่น • สอง

ทานอาหารเช้าเอาแรงกันก่อนค่ะ เราสามารถสั่งจากเมนูได้เรื่อยๆ คือเป็นบุฟเฟต์ที่ทำใหม่ทุกจาน เมนูก็หลากหลายทีเดียว อาหารเช้าเริ่มตั้งแต่ 7.00-10.00 ค่ะ




check out เรียบร้อยก็ออกเดินทางไปปราสาทเปือยน้อยกันค่ะ จากบ้านไผ่ ไปทางอำเภอเปือยน้อย ประมาณ 30 กิโลเมตร ปราสาทจะอยู่ทางด้านขวามือค่ะ ซ้ายมือเป็นสวนสาธารณะสระวงศ์ ตามแผนที่ไป ไม่ยากค่ะ



ช่วงความรู้: ปราสาทเปือยน้อย หรื่อพระธาตุกู่ทอง สร้างขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ 16-17 เป็นศิลปะผสมระหว่างศิลปะเขมรแบบบาปวน และแบบนครวัด สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นเทวสถานในศาสนาฮินดู แผนผังการก่อสร้าง มีตวามหมายเป็นเขาพระสุเมรุ ซึ่งถือเป็นแกนจักรวาล อันเป็นที่สถิตของเทพเจ้าที่เรียกว่า "ศาสนบรรพต" สิ่งก่อสร้างภายในบริเวณปราสาทเป็นไปตามแบบแผนของศาสนสถานขอมโบราณ หน้าบันขององค์ประทานสลักเป็นพระยานาคราช ที่มีลวดลายสวยงามมาก ทับหลังสลักเป็นรูปนารายณ์บรรทมศิลป์ ที่นับว่ายังอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์
"โคปุระ"(ซุ้มประตู) อยู่ทางทิศตะวันตกและตะวันออก ข้างโคปุระเบาะเป็นช่องหน้าต่าง "กำแพงแก้ว" มีฐานเป็นบัวคว่ำบัวหงาย มีการสลักกำแพงเป็นร่องแบบลาดบัว



  




จากปราสาทเปือยน้อย เราแวะไปที่วัดบ้านลาน หรือวัดมัชฌิมวิทยารามกัน ที่ชวนเข้าวัดเข้าวานี่ไม่ใช่ว่าเจ้าของบล๊อกเป็นคนธรรมะธรรมโมแต่อย่างใด (~ ,~) แต่จะชวนมาชมจิตรกรรมฝาผนังกันค่ะ ให้ขับรถย้อนกลับมาทางเดิม เลี้ยวขวาเข้าถนนหมายเลข 2301 ขับมาซักพักก็จะเจอวัดอยู่ทางซ้ายมือนะคะ



สำหรับจิตรกรรมฝาผนังโบราณ (ฮูปแต้ม) นั้นจะวาดอยู่รอบนอกอุโบสถที่อยู่กลางวัดค่ะ ที่นี่เขาวาดเรื่องพระเวสสันดรชาดก (สังเกตุว่าวัดแถบนี้ส่วนใหญ่ก็จะวาดเรื่องนี้กันนะคะ) โดยจะเริ่มจากผนังด้านหน้า (ทิศตะวันออก) ไล่ไปจนครบรอบ ก็จะจบเรื่องพอดีค่ะ ซึ่งการวาดรูปของช่างก็จะอินดี้พอสมควรค่ะ คือไม่ได้มีแบบแผนเป๊ะๆอย่างช่างในภาคกลาง แล้วก็จะใช้สีฝุ่นสีน้ำเงิน และสีเหลืองเป็นหลัก บางทีก็เสริมคำบรรยายไว้ในภาพด้วย ลืมตรงไหน ก็วาดแทรกๆเอา ไม่มีกฎเกณฑ์อะไรทั้งสิ้นค่ัะ




จริงๆแล้วเจ้าของบล๊อกตั้งใจจะไปวัดสนวนวารีพัฒนารามด้วย แต่หาไม่เจอ -_-' เลยเลิกล้มความคิด กลับเข้าตัวเมืองขอนแก่นดีกว่า เพราะวันนี้เราจะย้ายไปนอนในในเมืองกันค่ะ

สถานที่พักคืนนี้คือสุพรรณิการ์โฮมค่ะ น่ารักมากกกกก จากถนนเลียบบึงแก่นนคร ให้เลี้ยวเข้าซอยที่ปากซอยมีร้านปลาป้าน้อยอยู่น่ะค่ะ ตรงเข้าไปประมาณ 2 กิโลเมตรก็จะเจอทางเข้าค่ะ ในสุพรรณิการ์โฮมนี้มีร้านอาหารด้วยนะคะ ชื่อ ครัวสุพรรณิการ์ ตอนมาถึงเป็นช่วงเที่ยงพอดี คนเยอะเชียว เดินผ่านร้านอาหารเข้ามาจะเจอลานกว้าง ซึ่งแต่ละวิลล่าก็จะแยกกันไปตามมุมค่ะ ฉะนั้นก็จะมีความเป็นส่วนตัวอยู่มากทีเดียว

วิลล่าที่นี่จะมีลักษณะเหมือนบ้านเลยค่ะ คือมีส่วนของตัวบ้านที่ประกอบด้วย ห้องนอน ห้องน้ำ ห้องอ่านหนังสือ รวมไปถึงระเบียง สวน และห้องทานอาหารที่เปิดโล่ง การตกแต่งก็ดูเป็นบ้านจริงๆค่ะ ดูอบอุ่น เจ้าของบล๊อกยังแอบชอบผ้า และปลอกหมอนต่างๆที่เขาเลือกใช้ ดู mix&match ลงตัวดี






 


พักคลายร้อนแล้วก็ไปหาอะไรทานกันค่ะ เจ้าของร้านทำการบ้านมา เห็นมีหลายคนแนะนำร้าน ตะเกียง ก็เลยตามรอยไปค่ะ ก็แปลกใจนิดหน่อยที่ทางร้านขายสุกี้ กับก๋วยเตี๋ยวลุยสวน แล้วก็สลัดไม่กี่อย่าง เพราะจากที่หาข้อมูลมา เป็นร้านที่มีเมนูหลากหลายทีเดียว เจ้าของร้านมาเฉลยทีหลังค่ะ ว่าสิ้นเดือนเมษายนนี้ก็จะปิดร้านแล้ว และเปลี่ยนไปขายสุกี้เพียงอย่างเดียว เพราะว่าเหนื่อยค่ะ
เจ้าของบล๊อกก็เลยต้องพับเมนูที่ list มาลงกระเป๋า แล้วสั่งอาหารเท่าที่มี คือก๋วยเตี๋ยวลุยสวน สลัดปลาแซลมอนทอด และสุกี้ทะเล ซึ่งอร่อยทุกอย่างจริงๆค่ะ ก่อนอาหารจะมา ก็ลองไปหยิบชีสเค้กลูกตาลมาลอง เพราะมีคนแนะนำขนมร้านนี้ไว้เช่นกัน ไม่ผิดหวังเลยค่ะ รสละมุนมาก นุ่มนวลสุดๆ


หนังท้องตึงเปรี๊ยะ ก็ต่อกันเลยค่ะ แวะไปที่วัดหนองแวง เพื่อไปชมพระมหาธาตุแก่นนคร (พระธาตุ 9 ชั้น) กัน วัดอยู่ริมบึงแก่นนครเลย มีลานจอดรถอยู่ด้านหลังวัด สะดวกสบายทีเดียว

ช่วงความรู้:  ภายในวัดหนองแวงเมืองเก่าซึ่งเป็นพระอารามหลวง มีพระมหาธาตุแก่นนคร หรือ พระธาตุเก้าชั้นฐานสี่เหลี่ยมกว้างด้านละ 50 เมตร เรือนยอดทรงเจดีย์จำลองแบบจากพระธาตุขามแก่น จัดสร้างขึ้น เนื่องในวโรกาสที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี และมหามังคลานุสรณ์ 200 ปี เมืองขอนแก่น ความสูงขององค์พระธาตุฯ 80 เมตร มีพระจุลธาตุ 4 องค์ ตั้งอยู่ 4 มุมและมีกำแพงแก้วพญานาค 7 เศียรล้อมรอบ เป็นศิลปะสมัยทวาราวดี ผสมผสานศิลปะอินโดจีน ซึ่งเป็นลักษณะแบบชาวอีสานตากแห

ภายในองค์พระธาตุมีอยู่ 9 ชั้น คือ

ชั้นที่ 1 เป็นหอประชุมมีพระบรมสารีริกธาตุ ประดิษฐานอยู่บนบุษบกตรงกลางและพระประธาน 3 องค์อยู่ตรงกลาง บานประตู หน้าต่าง แกะสลักภาพนิทานเรื่องจำปาสี่ต้น โดยเฉพาะบานประตูแกะสลักภาพ 3 มิติและมีจิตรกรรมฝาผนังเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เมืองขอนแก่น

ชั้นที่ 2 เป็นหอพัก บานประตูหน้าต่างเขียนลวดลายเบญจรงค์และภาพแกะสลักนิทานเรื่องสังศิลป์ชัย ตามผนังด้านบนมีภาพเขียนเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับคะลำ หรือข้อห้ามต่าง ๆ ของชาวอีสาน

ชั้นที่ 3 เป็นหอปริยัติ บานประตูหน้าต่างเขียนลวดลายเบญจรงค์และภาพแกะสลักนิทานเรื่องนางผมหอม

ชั้นที่ 4 เป็นหอปริยัติธรรม ภายในมีพิพิธภัณฑ์ของเก่าบานประตูหน้าต่างภาพพระประจำวันเกิด เทพประจำทิศและตัวพึ่ง-ตัวเสวย

ชั้นที่ 5 เป็นหอพิพิธภัณฑ์ มีบริขารของหลวงปู่พระครูปลัดบุษบา สุมโน อดีตเจ้าอาวาสวัดรูปที่ 6 บานประตูหน้าต่างแกะสลักภาพพุทธชาดก

ชั้นที่ 6 เป็นหอพระอุปัชฌายาจารย์ บานประตูหน้าต่างแกะสลักนิทานชาดกเรื่องเวสสันดร

ชั้นที่ 7 เป็นหอพระอรหันตสาวก บานประตูหน้าต่างแกะสลักนิทานเรื่องพระเตย์มีใบ้

ชั้นที่ 8 เป็นหอพระธรรม เป็นที่รวบรวมพระธรรม คัมภีร์สำคัญทางพระพุทธศาสนามีพระไตรปิฏก ฯลฯ บานประตูแกะสลักรูปพรหม 16 ชั้น

ชั้นที่ 9 เป็นหอพระพุทธ ตรงกลางมีบุษบก เป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า บานประตูแกะสลักภาพ 3 มิติ รูปพรหม 16 ชั้น และสามารถชมทัศนียภาพของตัวเมืองขอนแก่นได้ทั้ง 4 ด้าน โดยเฉพาะทางด้านทิศตะวันออกสามารถมองเห็นบึงแก่นนครได้สวยงามมาก

 credit: http://www.mochit.com/place/343


 



อิ่มบุญกันแล้วก็กลับไปนอนผึ่งพุงที่รีสอร์ทกันซักพักค่ะ เพราะเรามีแผนว่าเย็นนี่เราจะไปเดินเล่นที่ถนนคนเดินกัน แต่ปรากฏว่าทางรีสอร์ทแจ้งว่าประตูหน้าจะปิดตอน 3 ทุ่ม แป่ววว... จริงๆแล้วเราแจ้งพี่ยามไว้ได้นะคะ พี่ยามก็จะรอเปิดประตูให้เรา แต่ก็เกรงใจน่ะค่ะ เพราะถ้าเดินเพลิน พี่ยามก็เศร้าเลย แผนก็เลยเปลี่ยนค่ะ แทนที่จะออกไปตะแล๊ดแต๊ดแต๋ข้างนอก เราก็จะนั่งชิล นอนชิล เดินชิล ยืนชิล อยู่ในรีสอร์ท เรียกว่าใช้ทุกตารางเมตรให้คุ้มกันไปเลย

และเมื่อมีการเปลี่ยนแผน อาหารเย็นถนนคนเดินของเราก็เลยมีอันต้องตกไป พอดี๊กับที่คุณแฟนซื้อแชมเปญมาจากดิวตี้ฟรีที่ประเทศลาว เลยคิดว่าเรามากินดินเน่อแกล้มแชมเปญกันแบบไฮ ไฮ กันดีกว่า มื้อเย็นของเราก็เลยทานกันในที่ครัวสุพรรณิการ์ในรีสอร์ทค่ะ

มื้อนี้สั่งมา 4 อย่าง คือ ข้าวตังน้ำพริกเผากากหมู ฉู่ฉี่กุ้ง ยำเนื้อลาย ปูจ๋า อร่อยหมดทุกอย่างเลยค่ะ รสจัดทีเดียว แถมภาพชนแก้วกระแดะๆอีก 1 ภาพ ฮ่าๆ

ปอลอ จริงๆแล้วแชมเปญไม่เหมาะกับอาหารรสจัดนะฮะ เหมาะที่จะดื่มเปล่าๆ เวลาท้องว่าง หรือดื่มแกล้มอาหารรสเบาๆค่ะ



ราตรีสวัสดิ์ค่ะ :)